ชาวนาถูกโกงยกพวกบุกโรงพักเมืองชาละวันแจ้งความถูกท่าข้าวเบี้ยวไม่จ่ายเงิน
ชาวนา ต.เนินกุ่ม อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก ยกพวกครึ่งร้อยบุก สภ.เมืองพิจิตร แจ้งความหลังท่าข้าวในเขต อ.เมืองพิจิตร เปิดรับซื้อแล้วส่อแววจะถูกเบี้ยว ชาวนาทวงถามหลายรอบไม่ได้รับคำตอบผลัดวันประกันพรุ่ง อ้าง ซื้อแพงขายถูก ขาดทุน วันที่ 24 ก.พ. 2563 พ.ต.อ.กัมพล รัตนประทีป ผกก.สภ.เมืองพิจิตร ได้พบกับกลุ่มชาวนาจำนวนเกือบ 50 คน ที่มาแจ้งความร้องทุกข์ ที่ สภ.เมืองพิจิตร โดยมี น.ส.วิรัตน์ ใจซื่อ กำนัน ต.เนินกลุ่ม อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก เป็นผู้นำพาชาวนากลุ่มนี้มาแจ้งความ โดยชาวนาที่มาทั้งหมดนี้ให้ปากคำกับผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรเมืองพิจิตร ว่า ตนเองเป็นชาวนาอยู่ในเขต ต.เนินกุ่ม ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อติดกับ ต.ป่ามะคาบ อ.เมืองพิจิตร โดยเมื่อช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวนาปีในช่วงเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา เมื่อเกี่ยวข้าวได้แล้วจึงได้ใช้รถบรรทุกผลผลิตไปขายที่ท่าข้าวแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่ 8 ต.ป่ามะคาบ อ.เมืองพิจิตร ซึ่งเป็นท่าข้าวหรือจุดรับซื้อข้าวเปลือกที่พวกตนคุ้นเคยและนำข้าวเปลือกมาขายหลายครั้งแล้ว ซึ่งอดีตท่าข้าวแห่งนี้ก็ทำมาค้าขายกับชาวนามาได้ด้วยดี แต่พอฤดูกาลนี้กลับกลายเป็นว่ารับซื้อข้าวแล้วไม่มีเงินจ่าย อ้างว่าขาดทุนจากการที่ซื้อแพงแล้วต้องไปขายถูกทำให้ขาดทุนไม่มีเงินมาจ่ายให้กับชาวนา ส่วนชาวนาก็เดือดร้อนกันถ้วนหน้า เนื่องจากต้องหาเงินไปจ่ายค่าเช่านา ค่ายา ค่าปุ๋ย ค่ารถเกี่ยวข้าว เมื่อเดือดร้อน จึงต้องรวมตัวกันมาแจ้งความ ในส่วนของ น.ส.วิรัตน์ ใจซื่อ กำนันตำบลเนินกลุ่ม อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก กล่าวว่า ลูกบ้านของตนที่เป็นชาวนาและได้รับความเดือดร้อนมาแจ้งความในครั้งนี้ประมาณ 34 ราย รวมเป็นเงินแล้วประมาณ 1.7 ล้านบาท นอกจากนี้ยังทราบว่าท่าข้าวแห่งนี้ก็ไปเปิดจุดรับซื้อในเขต ต.สากเหล็ก ต.เนินมะปาง ซึ่งก็ประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องไม่ได้จ่ายเงินให้กับชาวนาด้วยเช่นกัน แต่ส่วนชาวนา ต.เนินมะปราง และ ต.สากเหล็ก จะมาแจ้งความหรือไม่นั้น ตนเองไม่ทราบคงต้องติดตามความคืบหน้ากันต่อไป พ.ต.อ.กัมพล รัตนประทีป ผกก.สภ.เมืองพิจิตร กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยในเบื้องต้นได้แยกชาวนาที่มาแจ้งความนี้ออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ ผู้ที่ขายข้าวเปลือกแล้วไม่ได้เงินเลยแม้แต่บาทเดียว กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มที่ขายข้าวเปลือกแล้วได้เงินเพียงบางส่วน ทั้งนี้เพื่อให้แนวทางสืบสวนบังคับใช้กฎหมายให้ตรงกับพฤติการณ์ที่อาจต้องแบ่งแยกเป็นคดีอาญาและคดีแพ่งต่อไป